วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2561

โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ



โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis)


โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis) เป็นการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะที่มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินปัสสาวะ (Urinary Tract Infection: UTI) จนทำให้เกิดความผิดปกติขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และพบได้ในทุกเพศทุกวัย ในระบบขับถ่ายปัสสาวะจะมีไตเป็นตัวกรองของเสียในเลือดและควบคุมระดับความเข้มข้นของสารต่าง ๆ ในร่างกาย จากนั้นจะส่งของเสียผ่านท่อไตลงไปเก็บไว้ยังกระเพาะปัสสาวะจนเต็มและขับออกจากร่างกายผ่านทางท่อปัสสาวะ บางกรณีอาจเกิดการติดเชื้อจนแพร่กระจายจากกระเพาะปัสสาวะไปยังไต ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพอื่นตามมา แต่พบได้ค่อนข้างน้อย

สาเหตุของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียและไม่ติดเชื้อแบคทีเรีย

พยาธิสรีรภาพ
เกิดจากการทำงานของเยื่อบุกระเพาะปัสสาวะเสียไป เมื่อเยื่อบุของกระเพาะปัสสาวะฉีกขาดจากการสวนปัสสาวะ มีก้อนนิ่วที่หยาบ มีเนื้องอก มีพยาธิใบไม้ เมื่อเยื่อบุกระเพาะปัสสาวะฉีกขาด จะทำให้แบคทีเรียเข้าไปในเนื้อเยื่อและทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ประกอบกับมีการเปลี่ยนแปลงของเลือดที่ไปเลี้ยงเนื้อเยื่อกระเพาะปัสสาวะลดลงเนื่องจากความดันในกระเพาะปัสสาวะเพิ่มขึ้น กระเพาะปัสสาวะยืดขยาย คอของกระเพาะปัสสาวะหดรัดตัวหรือท่อปัสสาวะอุดตันจากต่อมลูกหมากโตหรือท่อปัสสาวะตีบ เชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดกระเพาะปัสสาสะอักเสบที่พบบ่อย คือ เชื้ออีโคไล เชื้อนี้จะเข้าไปในท่อปัสสาวะโดยตรงและเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะ แบคทีเรียจะเพิ่มจำนวนในน้ำปัสสาวะที่ขังอยู่จากการถ่ายปัสสาวะออกไม่หมดหรือจากทางเดินปัสสาวะอุดตัน น้ำปัสสาวะจะช่วยให้แบคทีเรียเพิ่มจำนวนและปัสสาวะมีภาวะเป็นด่างจะทำให้แบคทีเรียเพิ่มจำนวนขึ้นได้ เมื่อมีการติดเชื้อเกิดขึ้นจะทำให้เยื่อเมือกบวมแดง อาจมีเลือดออก หากมีการอุดกั้นของทางเดินปัสสาวะส่วนล่างร่วมด้วยและไม่ได้รับการแก้ไขจะกลายเป็นการอักเสบเรื้อรัง มีพังผืดเกิดขึ้น กระเพาะปัสสาวะเล็กลง ความจุของกระเพาะปัสสาวะลดลงด้วย ทำให้มีอาการปัสสาวะบ่อย กลั้นปัสสาวะไม่ได้ ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะขุ่น ปัสสาวะมีกลิ่นเหม็น อาจปวดหัวเหน่า และปัสสาวะมีเลือดปน


โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
เป็นสาเหตุหลักที่พบมากที่สุด การติดเชื้อแบคทีเรียอาจมาจากเชื้อที่อยู่ภายนอกร่างกายหรือเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ภายในร่างกาย เช่น เชื้อแบคทีเรีย เอสเชอริเชีย โคไล หรือ อีโคไล (Escherichia Coli: E. Coli) ที่พบอยู่บริเวณลำไส้ของคนเรา เชื้อเหล่านี้เข้าสู่กระเพาะปัสสาวะผ่านทางท่อปัสสาวะก่อนมีการแบ่งตัวจำนวนมาก ทำให้กระเพาะปัสสาวะเกิดการอักเสบขึ้นมา แต่กลไกในการเกิดโรคนี้ยังไม่ชัดเจนว่าเกิดขึ้นอย่างไร
นอกจากนี้ ผู้หญิงมักจะติดเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินปัสสาวะได้มากกว่าผู้ชายจากหลายปัจจัย เช่น ทวารหนักอยู่ในตำแหน่งใกล้ท่อปัสสาวะ ท่อปัสสาวะมีขนาดสั้นกว่าของผู้ชาย หรือการเช็ดก้นจากด้านหลังมาทางด้านหน้าอาจทำให้แบคทีเรียเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะได้ง่ายขึ้น

โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
นอกจากการติดเชื้อแบคทีเรีย โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบอาจเกิดจากสาเหตุอื่นได้เช่นกัน แต่มักพบได้น้อยกว่าการติดเชื้อ เช่น
§       การใช้ยา ส่วนประกอบในยาบางชนิดอาจมีผลต่อการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะ โดยเฉพาะยาเคมีบำบัด เช่น ยาซัยโคลฟอสฟาไมด์ และยาไอฟอสฟามายด์
§    
         การฉายรังสีบริเวณช่องเชิงกราน เนื้อเยื่อภายในกระเพาะปัสสาวะบริเวณที่โดนฉายรังสีอาจเกิดการอักเสบและอาจส่งผลต่อกระเพาะปัสสาวะเช่นกัน
§      
        สิ่งแปลกปลอมภายนอก การใส่สายสวนปัสสาวะเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดการติดเชื้อและทำลายเนื้อเยื่อ ซึ่งเป็นสาเหตุของการอักเสบตามมา
§      
    สารเคมี บางคนอาจมีความไวต่อสารเคมีในผลิตภัณฑ์ เช่น ผลิตภัณฑ์อาบน้ำหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น ซึ่งอาจมีสารเคมีบางตัวที่สร้างความระคายเคืองต่อกระเพาะปัสสาวะ
§      
    ปัญหาสุขภาพ โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบอาจเป็นภาวะแทรกซ้อนจากการทำงานผิดปกติของร่างกายหรือโรคประจำตัว เช่นนิ่วในไตต่อมลูกหมากโต หรือการได้รับบาดเจ็บบริเวณไขสันหลัง
§
  กลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบอาจเกิดได้ง่ายขึ้นในบุคคลบางกลุ่มหรือบางสภาวะที่มักเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดโรค ดังนี้
ผู้หญิงจะเสี่ยงเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้มากกว่าผู้ชาย เนื่องจากท่อปัสสาวะของผู้หญิงจะสั้นกว่า และตำแหน่งที่เปิดอยู่ใกล้ทวารหนักมากกว่าผู้ชาย จึงเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะได้ง่ายกว่า ซึ่งผู้หญิงเกือบครึ่งอย่างน้อยเคยเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะมาก่อน โดยเฉพาะในช่วงอายุ 24 ปี อาจจะเป็นโรคนี้ได้ 1 ใน 3 คนอยู่ในช่วงตั้งครรภ์ โดยอาจพบหญิงตั้งครรภ์ 4 ใน 100 คน ที่มักเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบมีเพศสัมพันธ์

ผู้หญิงที่มีการคุมกำเนิดด้วยการใช้ยาฆ่าอสุจิในช่องคลอดอยู่ในวัยหมดประจำเดือน อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงเนื้อเยื่อบริเวณอวัยวะเพศและท่อปัสสาวะหลังหมดประจำเดือนจนอาจทำให้ป้องกันเชื้อโรคต่างๆได้น้อยลงผู้ที่คาสายสวนปัสสาวะมีความผิดปกติหรือโรคประจำตัวเกี่ยวกับการทำงานของไตกระเพาะปัสสาวะหรือระบบทางเดินปัสสาวะระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติ เช่น โรคเอดส์ การใช้ยารักษาโรคที่กดระบบภูมิคุ้มกัน เป็นต้น

อาการของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบสามารถสังเกตความผิดปกติที่พบได้บ่อยดังนี้

                             1. ปวดปัสสาวะบ่อย 
2. รู้สึกปวดแสบขณะปัสสาวะ
3. น้ำปัสสาวะขุ่นมีปริมาณน้อย และมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ
4. ปวดบริเวณท้องน้อย
5. มีไข้
6. ปัสสาวะมีเลือดปนในบางครั้ง
7. เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี มักไม่พบอาการที่ชัดเจน แต่อาจมีอาการอ่อนเพลีย อารมณ์หงุดหงิด ความอยากอาหารลดลง และอาเจียน
8. สำหรับผู้สูงอายุบางคนแทบไม่พบอาการ แต่มักจะมีอาการอ่อนเพลีย สับสน หรือมีไข้

การวินิจฉัยโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
แพทย์จะสอบถามผู้ป่วยเกี่ยวกับอาการผิดปกติที่เกิดขึ้น ประวัติการเจ็บป่วย และตรวจร่างกาย จากนั้นอาจตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีพิเศษอื่นเพื่อวินิจฉัยความผิดปกติในระบบทางเดินปัสสาวะ
         การตรวจปัสสาวะ (Urine Analysis) เมื่อผู้ป่วยมีอาการที่น่าสงสัยของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ แพทย์จะให้ผู้ป่วยเก็บตัวอย่างปัสสาวะที่อาจมีการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรียเลือดหรือเม็ดเลือดขาวปนอยู่ในปัสสาวะหรือไม่ หากมีก็จะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยในเบื้องต้นได้
การส่องกล้อง (Cystoscopy) เป็นวิธีที่ใช้ตรวจหาความผิดปกติภายในกระเพาะปัสสาวะ โดยแพทย์จะสอดกล้องขนาดเล็กที่มีลักษณะเป็นท่อยาวผ่านทางระบบทางเดินปัสสาวะหากพบความผิดปกติที่เกิดขึ้นจะมีการเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อบางส่วนมาตรวจในห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ วิธีนี้ไม่จำเป็นสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการของโรคครั้งแรก และใช้เฉพาะกรณีที่คาดว่าตัวโรคเกิดจากสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่การติดเชื้อ
การถ่ายภาพทางรังสี (Imaging Tests) เป็นวิธีการใช้รังสีตรวจภายในกระเพาะปัสสาวะ เช่น ก้อนเนื้องอก โครงสร้างของเนื้อเยื่อ เพื่อหาสาเหตุที่อาจเป็นไปได้ของการอักเสบ อาจเป็นการเอกซเรย์หรือการตรวจอัลตราซาวด์ ซึ่งแพทย์จะใช้วิธีนี้ในการวินิจฉัยผู้ป่วยบางรายที่สงสัยภาวะเนื้องอกหรือความผิดปกติอื่นเท่านั้น

การรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
    โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบสามารถรักษาได้หลายวิธี ดังนี้
การรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบจากการติดเชื้อ
ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงและมีสาเหตุของโรคมาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย มักจะรักษาด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น ไตรเมโทพริม (Trimethoprim) หรือยาไนโตรฟูแรนโทอิน (Nitrofurantoin) ซึ่งระยะเวลาในการรักษาจะขึ้นอยู่กับสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วยและชนิดของแบคทีเรียที่พบในปัสสาวะ

การติดเชื้อแบคทีเรียครั้งแรก อาการมักค่อย ๆ ดีขึ้นภายในไม่กี่วันหลังการรับประทานยา โดยจำเป็นต้องรับประทานยาติดต่อกันประมาณ 3 วันไปจนถึงสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการติดเชื้อ ผู้ป่วยควรรับประทานยาอย่างเคร่งครัดตามแพทย์สั่งแม้จะไม่มีอาการในช่วงท้ายเพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรียให้หมดไปการติดเชื้อซ้ำ แพทย์จะแนะนำให้รับประทานยาปฏิชีวนะนานขึ้นกว่าเดิม และอาจให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบปัสสาวะตรวจประเมินอาการเพิ่มเติมอีกครั้งสำหรับผู้ป่วยที่อยู่ในช่วงวัยหมดประจำเดือน แพทย์อาจสั่งจ่ายยาครีมสำหรับใช้ทาช่องคลอด ซึ่งเป็นฮอร์โมนทดแทนเอสโตรเจนที่ช่วยบรรเทาอาการให้ดีขึ้นเนื่องจากในวัยหมดประจำเดือนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาวะของร่างกายทำให้แบคทีเรียที่อยู่ในช่องคลอดเสียสมดุล จึงไวต่อการติดเชื้อได้ง่ายและกระจายไปยังกระเพาะปัสสาวะ

 ภาวะแทรกซ้อนของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

แม้ว่าจะเป็นโรคไม่รุนแรง แต่เมื่อได้รับการรักษาโรคที่ไม่ถูกต้องและเหมาะสม เชื้ออาจแพร่กระจายจากกระเพาะปัสสาวะผ่านทางท่อไตไปจนถึงกรวยไต ทำให้กรวยไตอักเสบและอาจจะสร้างความเสียหายกับไตอย่างถาวร ซึ่งผู้ป่วยที่เกิดการติดเชื้อที่ไตมักพบอาการอื่นร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดหลัง ปวดเอว หนาวสั่น อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะออกมามีเลือดปน ถ่ายปัสสาวะถี่มากขึ้น หรือรู้สึกปวดขณะถ่ายปัสสาวะเป็นเวลานานหลายชั่วโมง ผู้ป่วยควรรีบไปพบแพทย์ เพราะอาการเหล่านี้อาจเป็นอาการแฝงของการติดเชื้อบริเวณอื่นหรือโรคชนิดอื่น

การป้องกันโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบป้องกันได้เฉพาะบางสาเหตุเท่านั้น แต่อาจลดความเสี่ยงของโรคได้ด้วยการปรับพฤติกรรมการขับถ่ายและรักษาความสะอาดของร่างกายตามคำแนะนำ ดังนี้
1. หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารเคมีบริเวณอวัยวะเพศ เช่น สบู่ แป้ง หรือผลิตภัณฑ์อาบน้ำที่มีส่วนผสมของน้ำหอม แต่ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สูตรอ่อนโยน ปราศจากน้ำหอม
2. ไม่ควรกลั้นปัสสาวะโดยไม่จำเป็น และดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอในแต่ละวัน เพื่อลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะปัสสาวะ
3. ทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศและทวารหนักทุกวัน
4. ปัสสาวะหลังการมีเพศสัมพันธ์ โดยอาจดื่มน้ำเยอะ ๆ จะช่วยเร่งความรู้สึกให้อยากปัสสาวะได้ เพื่อช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ
5. การเช็ดทำความสะอาดทวารหนัก ควรเช็ดจากด้านหน้าไปยังด้านหลัง เพื่อป้องกันเชื้อแพร่กระจายจากทวารหนักไปยังอวัยวะเพศได้ง่าย
6. อาบน้ำแบบฝักบัวแทนการแช่น้ำในอ่างเป็นประจำ เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงให้เชื้อเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย
7. สวมใส่ชุดชั้นในที่มีเนื้อผ้าระบายได้ดี ไม่กักเก็บความอับชื้น

สมุนไพรรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ" ตัวช่วยลดการอักเสบ

1. พลูคาว (สมุนไพรรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ)


พลูคาวเป็นสมุนไพรที่ช่วยแก้อาการอักเสบและการติดเชื้อได้ มีสรรพคุณช่วยรักษาอาการขัดเบา (ปัสสาวะออกกะปริดกะปรอย) เป็นยาขับปัสสาวะตำรับสมุนไพรจีนโบราณ และรักษาโรคริดสีดวงทวารได้ด้วย ตัวรากและใบของพลูคาวช่วยในเรื่องของการขับน้ำเหลือง และขับของเสียได้ดี

2. กระเจี๊ยบ (สมุนไพรรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ)


          กระเจี๊ยบเป็นพืชสมุนไพรใช้รักษาโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินปัสสาวะได้ทั้งสิ้น เมล็ดของกระเจี๊ยบช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินปัสสาวะ และช่วยลดอาการปวดแสบท้องน้อยเนื่องจากกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้อีกด้วย นอกจากนี้กระเจี๊ยบยังมีสรรพคุณที่น่าสนใจอีกมาก เช่น ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ลดอาการบวมช้ำ และรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้
. หญ้าหนวดแมว (สมุนไพรรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ)



ใบของหญ้าหนวดแมวเป็นตัวช่วยที่ดีในการล้างสารพิษ เนื่องจากกระเพาะปัสสาวะอักเสบ มีสาเหตุหลักเกิดจากเชื้อที่คั่งค้างจากปัสสาวะ การดื่มน้ำหญ้าหนวดแมวต้มสะอาดจะช่วยล้างสารพิษ ลดการอักเสบ บรรเทาอาการปวด และช่วยขับสารพิษออกทางปัสสาวะได้ นอกจากนี้ยังช่วยลดขนาดก้อนนิ่วได้ด้วย

4. นางแย้ม (สมุนไพรรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ)



นางแย้มเป็นไม้ดอกที่สวยงาม จึงไม่ค่อยคุ้นหูนักในเรื่องของการเป็นยาสมุนไพรรักษาโรค แต่ตามตำราสมุนไพรโบราณพบว่า ใบและรากของนางแย้มช่วยขับปัสสาวะ รักษาโรคที่เกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะได้ ช่วยให้ปัสสาวะที่ขุ่นข้น มีเลือดปน ใสสะอาดมากขึ้น ทั้งยังช่วยให้ท่อปัสสาวะสะอาด ขับระดูขาว และของเสียได้

5. มะละกอ (สมุนไพรรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ)



ใครจะรู้ว่าผลไม้อย่างมะละกอก็ช่วยรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้ เพราะใบและรากของมะละกอเป็นสมุนไพรชั้นดี ที่ช่วยแก้อาการอักเสบต่างๆ ได้ดีจนกลายเป็นหนึ่งในส่วนผสมของยาแก้อักเสบ รากของมะละกอช่วยในการขับปัสสาวะ และช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะได้

๖. ตะไคร้
 ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Cymbopogon citratus  Stapf.
ชื่อสามัญ :   Lemon Grass, Lapine
วงศ์ :   Poaceae (Gramineae)
ชื่ออื่น จะไคร้ (ภาคเหนือ) ไคร (ภาคใต้) คาหอม (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน) ห่อวอตะไป่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)
หัวสิงโต (เขมร-ปราจีนบุรี) ตะไคร้แกง (ทั่วไป)
ส่วนที่ใช้
  • ทั้งต้น  เก็บได้ตลอดปี ล้างให้สะอาด ใช้สดหรือผึ่งให้แห้งในที่ร่ม เก็บไว้ใช้
  • ราก  เก็บได้ตลอดปี ล้างให้สะอาด ใช้สด ใบสด
สรรพคุณ
  • ทั้งต้น
    1. รสฉุน สุมขุม แก้หวัด ปวดศีรษะ ไอ
    2. แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด ขับลมในลำไส้ บำรุงไฟธาตุ
    3. ทำให้เจริญอาหาร แก้ปวดกระเพาะอาหาร แก้ท้องเสีย
    4. แก้ปวดข้อ ปวดเมื่อย ฟกช้ำจากหกล้ม ขาบวมน้ำ
    5. แก้โรคทางเดินปัสสาวะ นิ่ว ขับปัสสาวะ ประจำเดือนมาผิดปกติ
    6. แก้ปัสสาวะเป็นเลือด แก้โรคหืด
  • ราก
    1. แก้เสียดแน่น แสบบริเวณหน้าอก ปวดกระเพาะอาหารและขับปัสสาวะ
    2. บำรุงไฟธาตุ ขับปัสสาวะ แก้นิ่ว แก้ปัสสาวะพิการ
    3. รักษาเกลื้อน แก้อาการขัดเบา
  • ใบสด – มีสรรพคุณช่วยลดความดันโลหิตสูง แก้ไข้
  • ต้น –  มีสรรพคุณเป็นยาขับลม แก้ผมแตกปลาย เป็นยาช่วยให้ลมเบ่งขณะคลอดลูก ใช้ดับกลิ่นคาว แก้เบื่ออาหาร บำรุงไฟธาตุให้เจริญ แก้โรคทางเดินปัสสาวะ นิ่วปัสสาวะพิการ แก้หนองใน
วิธีและปริมาณที่ใช้
  • แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด ปวดท้อง
    -ใช้ลำต้นแก่ๆ ทุบพอแหลก ประมาณ 1 กำมือ (ประมาณ 40- 60 กรัม ) ต้มเอาน้ำดื่ม หรือประกอบเป็นอาหาร
    นำตะไคร้ทั้งต้นรวมทั้งรากจำนวน 5 ต้น สับเป็นท่อน ต้มกับเกลือ ต้ม 3 ส่วน ให้เหลือ 1 ส่วน รับประทานครั้งละ 1 ถ้วยแก้ว รับประทาน 3 วัน จะหายปวดท้อง
  • แก้อาการขัดเบา ผู้ที่ปัสสาวะขัดไม่คล่อง (แต่ต้องไม่มีอาการบวม)
    ใช้ต้นแก่สด วันละ 1 กำมือ (ประมาณ 40- 60 กรัม , แห้งหนัก 20- 30 กรัม ) ต้มกับน้ำดื่มครั้งละ 1 ถ้วยชา (75 มิลลิลิตร) วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร
    ใช้เหง้าแก่ที่อยู่ใต้ดิน ฝานเป็นแว่นบางๆ คั่วไปอ่อนๆ พอเหลือง ชงเป็นชาดื่ม ครั้งละ 1 ถ้วยชา วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร
คุณค่าทางด้านอาหาร 
ตะไคร้ยังมีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะช่วยเพิ่มเกลือแร่ที่จำเป็นหลายชนิด เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก และยังมีวิตามินเอ รวมอยู่ด้วย
สารเคมี
  • ใบ – มีน้ำมันหอมระเหย 0.4-0.8% ประกอบด้วย Citral 75-85 %  Citronellal, Geraniol Methylheptenone เล็กน้อย , Eugenol และ Methylheptenol
  • ราก – มี อัลคาลอยด์ 0.3% 
๗. ทองกวาว
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Butea monosperma (Lam.) Taub
ชื่อพ้อง : Butea frondosa  Wild.
ชื่อสามัญ :   Flame of the Forest, Bastard Teak
วงศ์ :   Leguminosae-Papilionoideae
ชื่ออื่น :  กวาว ก๋าว (ภาคเหนือ) จอมทอง (ภาคใต้) จ้า (เขมร) ทองธรรมชาติ ทองพรหมชาติ ทองต้น (ภาคกลาง)
ส่วนที่ใช้ :  ดอก ยาง ใบ เมล็ด
สรรพคุณ
  •  ดอก
    รับประทานเป็นยาถอนพิษไข้ แก้กระหายน้ำ
    ผสมเป็นยาหยอดตา แก้เจ็บตา ฝ้าฟาง
    เป็นยาขับปัสสาวะ สมานแผลปากเปื่อย แก้พิษฝี
  • ยาง – ใช้แก้ท้องร่วง
  • ใบ
    ตำพอกฝี และสิว แก้ปวด ถอนพิษ
    แก้ท้องขึ้น ขับพยาธิ แก้ริดสีดวง
  • เมล็ด
    ขับไส้เดือน
    บดผสมน้ำมะนาว ทาแก้ผิวหนังอักเสบเป็นผื่นแดงและแสบร้อน
ข้อควรระวัง : เนื่องจากหลักฐานทางด้านความเป็นพิษมีน้อย จึงควรที่จะได้ระมัดระวังในการใช้ และไม่ควรใช้ติดต่อกันนานๆ
ด้านฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา มีรายงาน 2 ฉบับคือ
  • รายงานผลด้านฮอร์โมนเพศหญิง ผู้วิจัยพบว่า ถ้าใช้สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ในขนาดตั้งแต่ 3.2 มก./กก./วัน ขึ้นไปมีผลด้านฮอร์โมนเพศหญิง
  • รายงานเรื่องการสกัดแยกสารไดโซบิวตริน (Isobutrin) และ บิวตริน (Butrin) ซึ่งมีฤทธิ์ป้องกันอันตรายต่อตับเนื่องจากสารพิษ ได้แก่ คาร์บอน เตทตร้าคลอไรด์ และ กาแลคโตซามีน ได้
สารเคมี – สารเคมีที่พบในดอกทองกวาว คือ Pongamin (Karanin), Kaempferol, ?-sitosterol, Glabrin, Glabrosaponin, Stearic acid, Palmitic acid, Butrin, Isobutrin coreopsin, Isocoreopsin, Sulfurein monospermoside และ Isomonospermoside สารที่พบส่วนใหญ่คือสาร ซึ่งเป็นองค์ประกอบของสีดอกทองกวาว มีสารที่มีรสหวานคือ glabrin.
๘. ทานตะวัน
  ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Helianthus annuus  L.
ชื่อสามัญ :   Sunflower.
วงศ์ :   Asteraceae (Compositae)
ชื่ออื่น :  บัวตอง (ภาคเหนือ) ชอนตะวัน (ภาคกลาง)
ส่วนที่ใช้ : แกนต้น ใบ ดอก ฐานรองดอก เมล็ด เปลือกเมล็ด ราก
สรรพคุณ
  • แกนต้น ขับปัสสาวะ แก้นิ่วในทางเดินปัสสาวะ นิ่วในไต ปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะขุ่นขาว ไอกรน แผลมีเลือดออก
  • ดอก ขับลม ทำให้ตาสว่าง แก้วิงเวียน หน้าบวม บีบมดลูก
  • ใบ, ดอก แก้หลอดลมอักเสบ
  • ฐานรองดอก แก้อาการปวดหัว ตาลาย ปวดฟัน ปวดท้อง โรคกระเพาะ ปวดประจำเดือน ฝีบวม
  • เมล็ด แก้บิด มูกเลือด ขับหนองใน ฝีฝักบัว ขับปัสสาวะ เสมหะ แก้ไอ แก้ไข้หวัด
  • เปลือกเมล็ด แก้อาการหูอื้อ
  • ราก แก้อาการปวดท้อง แน่นหน้าอก ฟกช้ำ เป็นยาระบาย ขับปัสสาวะ
ข้อห้ามใช้ : ห้ามใช้ในหญิงมีครรภ์
วิธีและปริมาณที่ใช้
  • แก้อาการปวดหัว ตาลาย  ใช้ฐานรองดอกที่แห้งแล้ว ประมาณ 25- 30 กรัม นำมาตุ๋น กับไข่ 1 ฟอง รับประทานหลังอาหารวันละ 2 ครั้ง
  • แก้อาการช่วยขับปัสสาวะขุ่นขาว และขับปัสสาวะ ให้ใช้แกนกลางลำต้น ยาวประมาณ 60 ซม. (หรือประมาณ 15 กรัม ) และรากต้นจุ้ยขึ้งฉ่ายราว 60 กรัม ใช้ต้มคั้นเอาน้ำ หรือใช้ผสมกับน้ำผึ้งรับประทาน
  • แก้อาการปวดท้องโรคกระเพาะ และปวดท้องน้อยก่อนหรือระยะที่เป็นรอบเดือน ให้ใช้ฐานรองดอก 1 อัน หรือประมาณ 30- 60 กรัม และกระเพาะหมู 1 อัน แล้วใส่น้ำตาลทรายแดง ประมาณ 30 กรัม ต้มกรองเอาน้ำรับประทาน
  • แก้อาการมูกโลหิต ให้ใช้เม็ดประมาณ 30 กรัม ใส่น้ำตาลเล็กน้อย ต้มน้ำนานราว 60 นาที แล้วใช้ดื่ม
  • ช่วยลดความดันโลหิต ให้ใช้ใบสด 60 กรัม (แห้ง 30 กรัม ) และโถวงู่ฉิกสด 60 กรัม (แห้ง 30 กรัม ) นำมาต้มเอาน้ำรับประทาน
  • แก้อาการปวดฟัน ให้ใช้ดอกที่แห้งแล้ว ประมาณ 25 กรัม นำมาสูบเหมือนยาสูบ หรือใช้ฐานรองดอก 1 อัน พร้อมรากเกากี้ นำมาตุ๋นกับไข่รับประทาน
  • โรคไอกรน ให้ใช้แกนกลางลำต้นโขลกให้ละเอียด แล้วนำมาผสมกับน้ำตาล ทรายขาว ชงด้วยน้ำร้อนรับประทาน
  • แก้อาการไอ ให้ใช้เมล็ดคั่วให้เหลือง ชงน้ำดื่มกิน
  • แก้อาการหูอื้อ ให้ใช้เปลือกเมล็ดประมาณ 10- 15 กรัม ต้มน้ำรับประทาน
  • ขับพยาธิไส้เดือน ให้ใช้รากสดประมาณ 30 กรัม เติมน้ำตาลทรายแดงเล็กน้อย ต้มน้ำรับประทาน
  • แผลที่มีเลือดไหล ให้ใช้แกนกลางลำต้นโขลกให้ละเอียดแล้วนำมาพอก บริเวณแผล
สารเคมี : สารเคมีในใบ ถ้านำมาสกัดด้วยแอลกอฮอล์ (0.2%) มีฤทธิ์สามารถช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของพารามีเซียม (paramecium) และเชื้อแบคทีเรีย Bacillus aureus แต่ไม่มีฤทธิ์ต่อเชื้อ แบคทีเรีย Bacillus coli และนอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นยาต้านโรคมาลาเรีย และช่วยเสริมฤทธิ์ยาควินิน
๙. สับปะรด
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Ananas comosus  (L.) Merr.
ชื่อสามัญ :   Pineapple
วงศ์ :   Bromeliaceae
ชื่ออื่น :  แนะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ขนุนทอง ยานัด ย่านนัด (ใต้) บ่อนัด (เชียงใหม่)
เนะซะ (กะเหรี่ยงตาก) ม้าเนื่อ (เขมร) มะขะนัด มะนัด (เหนือ) หมากเก็ง (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน)
สับปะรด (กรุงเทพฯ) ลิงทอง (เพชรบูรณ์)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุกอายุหลสบปร สูง 90-100 ซม. ลำต้นใต้ดิน ปล้องสั้น ไม่แตกกิ่งก้านมีแต่กาบใบห่อหุ้มลำต้น ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงเวียนถี่ ไม่มีก้านใบ ใบเรียวยาว โคนใบเป็นกาบหุ้มลำต้น ปลายแหลม ขอบใบมีหนาม แผ่นใบสีเขียวเข้มและเป็นทางสีแดง ด้านล่างมีนวลแป้งสีขาว ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด ดอกเรียงอัดกันแน่นรอบแกนช่อดอก ก้านช่อใหญ่แข็งแรง กลีบดอก 3 กลีบ ด้านบนสีชมพูอมม่วง ด้านล่างสีขาว เกสรเพศผู้ 6 อัน เรียบกัน 2 ชั้น ผล เป็นผลรวมรูปรี โคนกว้าง ปลายสอบ มีใบสั้นเป็นกระจุกที่ปลายผล เรียกว่าตะเกียง ผลสุกสีเหลืองสดและฉ่ำน้ำ
ส่วนที่ใช้ :  ราก หนาม ใบสด ผลดิบ ผลสุก ไส้กลางสับปะรด เปลือก จุก แขนง ยอดอ่อนสับปะรด
สรรพคุณ
  • ราก – แก้นิ่ว ขับปัสสาวะ แก้กระษัย ทำให้ไตมีสุขภาพดี แก้หนองใน แก้มุตกิดระดูขาว แก้ขัดข้อ
  • หนาม – แก้พิษฝีต่างๆ แก้ไข้ ลดความร้อน ไข้พา ไข้กาฬ
  • ใบสด – เป็นยาถ่าย ฆ่าพยาธิในท้อง ยาขับปัสสาวะ แก้กระษัย
  • ผลดิบ – ใช้ห้ามโลหิต แก้โรคทางเดินปัสสาวะ ฆ่าพยาธิ และขับระดู
  • ผลสุก – ขับปัสสาวะ ขับเหงื่อ และบำรุงกำลัง ช่วยย่อยอาหาร แก้หนองใน มุตกิด กัดเสมหะในลำคอ
  • ไส้กลางสับปะรด – แก้ขัดเบา
  • เปลือก – ขับปัสสาวะ แก้กระษัย ทำให้ไตมีสุขภาพดี
  • จุก – ขับปัสสาวะ แก้นิ่ว แก้หนองใน มุตกิดระดูขาว
  • แขนง – แก้โรคนิ่ว
  • ยอดอ่อนสับปะรด – แก้นิ่ว
วิธีและปริมาณที่ใช้
แก้อาการขัดเบา ช่วยขับปัสสาวะ ใช้เหง้าสดหรือแห้งวันละ 1 กอบมือ (สดหนัก 200-250 กรัม แห้งหนัก 90-100 กรัม) ต้มกับน้ำดื่ม ครั้งละ 1 ถ้วยชา (75 มิลลิลิตร) วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร
คุณค่าด้านอาหาร : สับปะรด รับประทานเป็นผลไม้ มีแร่ธาตุและวิตามินที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
สารเคมี
  • เหง้า มี Protein
  • ลำต้น มี Bromelain, Peroxidase, Amylase, Proteinase
  • ใบ มี Hemicellulose, Bromelain, Campestanol
  • ผล มี Acetaldehyde, Ethyl acetate, Acetone
  • น้ำมันหอมระเหย มี Isobutanol. 

https://www.pobpad.com
https://www.honestdocs.co/urinary-tract-disorders/cystitis-inflammation

https://sukkaphapd.com/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%


https://health.mthai.com/howto/thai-medicine/1245.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ( Cystitis) โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ( Cystitis) เป็นการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะที่มักเกิดจากการติดเชื้อ...